วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"มะเมียะ"


"มะเมียะ"

มะเมียะ เรื่อง ราวความรักที่ต่างเชื้อชาติ ระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมียะ อันกลายมาเป็นตำนานรักที่จบลงอย่างโศกสลด และได้รับการกล่าวขานมาถึงปัจจุบัน ถูกถ่ายทอดโดยเจ้าหญิงบัวชุม ณ เชียงใหม อดีตคู่หมั้นของเจ้าน้อยศุขเกษม) แม้ว่ามะเมียะจะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ ล้านนาโดยตรง แต่สำหรับเจ้า (น้อย) ศุขเกษม ราชบุตรองค์ใหญ่ของเจ้าแก้วนวรัฐ เจ้าหลวงเชียงใหม่ (พ.ศ.๒๔๕๒-๒๔๘๒) กับแม่เจ้าจามรีแล้ว มะเมียะเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเจ้าน้อยฯ ก็ว่าได้

มะ เมียะเป็นแม่ค้าสาวชาวพม่า หน้าตาพริ้มเพรา ได้พบกับเจ้าน้อยศุขเกษมครั้งแรก เมื่ออายุเพียง ๑๖ ปี
ขณะ นั้นมะเมียะเป็นเพียงแม่ค้าขายบุหรี่ซะเล็กอยู่ที่ตลาดใกล้บ้านในเมืองมะละ แหม่ง มะเมียะหารายได้ด้วยความหวังเพื่อจะได้เงินมาจุนเจือครอบครัว ซึ่งอยู่ในฐานะปานกลาง วันหนึ่งเมื่อเจ้าน้อยศุขเกษมได้ออกเดินเที่ยวตามห้างร้านในตลาด จึงได้พบกับมะเมียะ
ซึ่งเพิ่งกลับมาจากเมืองตองอู หลังจากไปอาศัยอยู่กับป้าของเธอเป็นเวลาหลายปี ทั้งคู่เกิดถูกใจในกันและกัน จึงได้คบหากันเรื่อยมา หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองจึงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา ด้วยความสนับสนุนของทางบ้านของมะเมียะ
และในวันพระทั้งสองจะพากันไปทำบุญตักบาตรและนมัสการพระบรมสารีริกธาตุตามสถานที่ต่างๆ ในเมืองมะละแหม่งอยู่เสมอ
วันหนึ่ง ณ ลานกว้างหน้าพระธาตุใจ้ตะหลั่น ทั้งสองได้กล่าวคำสาบานต่อกันว่าจะรักกันตลอดไป และจะไม่ทอดทิ้งกัน
หาก ผู้ใดทรยศต่อความรักที่มีให้กัน ก็ขอให้ผู้นั้นอายุสั้น จากนั้นไม่นานก็ถึงกำหนดการเดินทางกลับเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าน้อยฯ
เพิ่งจะมีอายุครบ ๒๐ ปี จึงได้ตัดสินใจให้มะเมียะปลอมตัวเป็นชายติดตามขบวนเพื่อกลับไปยังเมืองเชียงใหม่
ใน ฐานะเพื่อนหนุ่มชาวพม่า โดยหารู้ไม่ว่าเจ้าพ่อและเจ้าแม่ของตนได้หมั้นหมายเจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้า สุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) ให้เป็นคู่หมั้นของเจ้าน้อยฯ เป็นการภายในตั้งแต่ปีที่เจ้าน้อยฯ เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนในเมืองพม่า หลังจากที่ต้องแอบซ่อนมะเมียะไว้ในบ้านหลังเล็ก ที่เจ้าพ่อและเจ้าแม่จัดเตรียมไว้ให้เป็นที่พักมาแล้วหลายวั
เจ้า น้อยศุขเกษมได้ใช้เวลาคิดใคร่ครวญและตัดสินใจเล่าความจริงให้ทั้งสองฟัง แม้ว่าจะไม่มีคำใดเอื้อนเอ่ยออกมาในขณะนั้น
แต่เจ้าน้อยฯ ก็พอจะทราบได้ว่าทั้งสองไม่ยอมรับมะเมียะเป็นศรีสะใภ้อย่างแน่นอนเนื่องจาก ปัญหาใหญ่ในขณะนั้น
คือ เจ้าน้อยเป็นผู้ที่ได้รับการคาดหวังว่าจะได้รับตำแหน่งเจ้าหลวงองค์ถัดไป จากเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ ซึ่งเป็นพระเจ้าลุง
หากเจ้าน้อยฯ เลือกมะเมียะมาเป็นศรีภรรยา ประชาชนย่อมต้องเกิดความอึดอัดใจในการยอมรับมะเมียะผู้เป็นหญิงต่างชาติมา
ดำรงฐานะศรีภรรยาของเจ้าเมืองอย่างแน่นอน
ใน สถานการณบ้านเมืองขณะนั้นน่าวิตกมาก เนื่องจากมหาอำนาจอังกฤษกำลังแผ่อิทธิพลไปทั่วดินแดนในคาบสมุทรเอเซียตะวัน ออกเฉียงใต้ มะเมียะซึ่งเป็นคนในบังคับของอังกฤษและกำลังอาศัยอยู่ในคุ้มของอุปราช (ขณะนั้นเจ้าแก้วนวรัฐดำรงตำแหน่งอุปราชเมืองเชียงใหม่) อาจเป็นชนวนของปัญหาทางการเมืองที่ใหญ่โตได้ในภายหลัง
ในที่สุดเจ้าพ่อและเจ้าแม่จึงเรียกตัวเจ้าน้อยฯไปพบ และยื่นคำขาดให้เจ้าน้อยส่งตัวมะเมียะกลับเมืองมะละแหม่ง
เพื่อ ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง ในยามเย็นวันนั้นเอง เจ้าน้อยได้เข้าพิธีเรียกขวัญและรดน้ำมนตที่เจ้าพ่อกับเจ้าแม่จัดขึ้น
เพื่อขจัดสิ่งชั่วร้ายที่ท่านทั้งสองเชื่อว่ามะเมียะได้กระทำแก่เจ้าน้อยฯ อันเป็นเหตุให้เจ้าน้อยฯ หลงไหลในตัวนาง
หลังจากพิธีรดน้ำมนต์ผ่านพ้นไป
ช้างพาหนะและไพร่พลที่จะใช้ในการส่งตัวมะเมียะกลับเมืองมะละแหม่งก็ถูกจัดเตรียมทันทีตามคำสั่งของเจ้าแก้วนวรัฐ
เมื่อเจ้าน้อยฯ กลับไปถึงที่พักในคืนนั้น มะเมียะได้รับการเกลี้ยกล่อมโดยหญิง-ชาย ชาวพม่าฝ่ายละคน
ให้นางกลับไปรอเจ้าน้อยฯ ที่เมืองมะละแหม่ง มิฉะนั้นบ้านเมืองอาจเดือดร้อน
นางได้เอ่ยขึ้นด้วยความเสียใจและยินยอมจากไปเพื่อมิให้ผู้ใดได้รับความเดือดร้อน
แม้ตัวนางจะจากไกล แต่ความรักอันมั่นคง ยังคงอยู่ดังคำสาบานที่เคยให้ไว้แก่กันและกัน
ฝ่ายเจ้าน้อยฯ ยังคงยืนยันในความรักที่มีต่อมะเมียะ และขอให้นางกลับไปรอที่บ้านก่อน
หากมีวาสนาจะกลับไปรับนางมาอยู่ด้วยกันที่เชียงใหม่ให้ได้
ใน เช้าวันหนึ่งของเดือนเมษายน นับเป็นวันเดินทางกลับเมืองมะละแหม่งของมะเมียะที่ดูเหมือนจะเป็นการจากลา ชั่วนิรันดร์
ณ ประตูหายยาที่เนืองแน่นไปด้วยประชาชนที่ใคร่เห็นโฉมหน้าของมะเมียะ ที่ลือกันว่างามนักงามหนา
บรรยากาศ เต็มไปด้วยความหดหู่และเศร้าหมอง เมื่อเจ้าน้อยฯ พูดภาษาพม่ากับมะเมียะได้เพียงไม่กี่คำ นางผู้มีใจรักมั่นได้ร่ำไห้ด้วยความอัดอั้นตันใจ ในอ้อมแขนที่ยากจะแยกจากกันได้ เวลานั้นก็ล่วงเลยไปมากแล้ว
เจ้าน้อยฯ ได้รับปากกับมะเมียะว่าตนจะยึดมั่นในคำปฏิญาณที่ให้ไว้ต่อหน้าพระพุทธรูปวัด ใจ้ตะหลั่นจนกว่าชีวิตจะหาไม่
หากท่านนอกใจมะเมียะโดยสมรสกับหญิงอื่น ขอให้ชีวิตของตนประสบแต่ความทุกข์ทรมานใจ แม้แต่อายุก็จะไม่ยืนยาว
เจ้า น้อยฯ ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าภายใน เดือนจะกลับไปหามะเมียะให้จงได้ นางจึงคุกเข่าลงกับพื้น ก้มหน้า สยายผมออกเช็ดเท้าเจ้าน้อยฯ ด้วยความอาลัยหา ก่อนที่เธอจะขึ้นไปบนกูบช้าง เมื่อกลับไปถึงเมืองมะละแหม่งแล้ว มะเมียะได้มอบเงินทองจำนวนหนึ่งซึ่งเจ้าแก้วนวรัฐและเจ้าแม่จามรีมอบให้นาง ก่อนเดินทางกลับเป็นการปลอบขวัญแก่พ่อแม่และน้อง จากนั้นนางได้แต่เฝ้ารอคอยเจ้าน้อยฯ จนครบกำหนด เดือนที่ท่านได้รับปากไว้ แต่นี่กระไรกลับไร้วี่แววใดๆ มะเมียะจึงตัดสินใจเข้าพึ่งใต้ร่มพุทธจักร
ครองตนเป็นแม่ชีเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ว่านางยังซื่อสัตย์ ต่อความรักที่มีต่อเจ้าน้อยศุขเกษม
หลัง จากที่มะเมียะทราบข่าวการเข้าพิธีมงคลสมรส ระหว่างร้อยตรีเจ้าอุตรการโกศล (ยศของเจ้าน้อยฯ ในขณะนั้น) กับเจ้าหญิงบัวนวล ณ เชียงใหม่ แม่ชีมะเมียะจึงเดินทางมายังเมืองเชียงใหม่และขอเข้าพบเจ้าน้อยฯ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อแสดงความยินดีกับชีวิตที่กำลังรุ่งโรจน์ องค์อดีตสวามีผู้เป็นที่รัก ก่อนที่ตนจะตัดสินใจครองตนเป็นแม่ชีไปตลอดชีวิต
แต่เจ้าน้อยศุขเกษม ผู้ยึดสุราเป็นที่พึ่งดับความกลัดกลุ้มอันเกิดจากความรักอาลัยในตัวมะเมียะ ชีวิตที่ไม่เคยมีความสุขในชีวิตสมรส ท่านไม่สามารถหักห้ามความสงสารที่มีต่อมะเมียะได้ จึงไม่ยอมลงไปพบแม่ชีมะเมียะตามคำขอร้อง เพียงแต่มอบหมายให้เจ้าบุญสูง
พี่ เลี้ยงคนสนิท นำเงินจำนวน ๘๐บาท ไปมอบให้กับแม่ชีมะเมียะเพื่อใช้ในการทำบุญ พร้อมกับมอบแหวนทับทิมประจำกายอีกวงหนึ่งเป็นตัวแทนของเจ้าน้อยฯ ให้กับแม่ชีมะเมียะ เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นทำให้มะเมียะและเจ้าน้อยต่างสะเทือนใจเป็นที่สุด หลังจากเดินทางถึงเมืองมะละแหม่ง มะเมียะได้ครองชีวิตเป็นแม่ชีตามความตั้งใจ จนกระทั่งถึงแก่กรรมในปี พ.ศ.๒๕๐๕ รวมอายุได้ ๗๕ ปี

จาก ตำนานรักระหว่างเจ้าน้อยศุขเกษมและมะเมียะ ได้รับการเผยแผ่ทั้งโดยการเล่าขานสืบต่อกันมา จากการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว อาจกล่าวได้ว่าสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักเจ้าน้อยฯ และมะเมียะมากขึ้น
คือ "เพลงมะเมียะ" ซึ่งขับร้องโดย คุณจรัล มโนเพชร นักร้อง โฟลคซองชาวล้านนา

ดังเนื้อเพลง ต่อไปนี้

"มะเมียะ"
มะเมียะเป็นสาวแม่ค้า คนพม่าเมืองมะละแหม่ง
งามล้ำเหมือนเดือนส่องแสง คนมาแย่งหลงรักสาว
มะเมียะบ่ยอมรักไผ มอบใจหื้อหนุ่มเชื้อเจ้า เป็นลูกอุปราชท้าวเชียงใหม่
แต่เมื่อเจ้าชายจบการศึกษา จำต้องลาจากมะเมียะไป
เหมือนโดนมีดสับดาบฟันหัวใจ ปลอมเป็นพ่อชายหนีตามมา
เจ้าชายเป็นราชบุตร แต่สุดที่รักเป็นพม่า ผิดประเพณีสืบมา ต้องร้างลาแยกทาง
โอโอก็เมื่อวันนั้น วันที่ต้องส่งคืนบ้านนาง
เจ้าชายก็จัดขบวนช้างให้ไปส่งนางคืนทั้งน้ำตา
มะเมียะตรอมใจอาลัยขื่นขม ถวายบังคมทูลลา สยายผมลงเช็ดบาทบาทา
ขอลาไปก่อนแล้วชาตินี้เจ้าชายก็ตรอมใจตาย มะเมียะเลยไปบวชชี

ความรักมักเป็นเช่นนี้ แลเฮย.........
   (เรียบเรียงจาก ปราณี ศิริธร ณ พัทลุง ชีวิตรักเจ้าเชียงใหม่ พ.ศ.๒๕๒๓ และ เพ็ชรลานนา พ.ศ.๒๕๓๘)

มะเมี๊ยะ - โฟล์คซองคำเมือง
 
http://www.youtube.com/watch?v=AIxP5qznixg

link ถ่ายทอดใหม่โดย เอ็ม วัศสัณต์ โดยมีนักร้องรับเชิญ และ ร่วมแสดงในละครสั้น มะเมี๊ยะhttp://www.youtube.com/watch?v=nNlXqBnZFDA&feature=related

น๋นขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก ...you tube, compass Magazinehttp://fayjaa.blogspot.com/



เจ้าน้อยศุขเกษม
เจ้าหญิงบัวนวล ธิดาของเจ้า สุริยวงษ์ (คำตัน สิโรรส) และเจ้าน้อย ศุขเกษม
เจ้าน้อยและพระชายา

สิ่งที่น่ากลัวที่สุด


สิ่งที่ดูน่ากลัว มักจะไม่อันตราย
สิ่งที่อันตราย มักจะดูไม่น่ากลัว

ว่ากันว่า.. ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก
คือการที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรู
โดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย
เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ"
จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น"
ยังไงๆ เขาก็มีหัวใจคนละดวงกับของเรา
สมองคนละก้อน ตัดสินใจได้เอง รู้สึกได้เอง
ว่าจะรัก จะเลิก จะอยู่หรือจะไป
ในเวลาอกหัก ใครจะมาบอกมาพูดอะไรสามวันสามคื
ก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก เท่ากับการมีปัญญาขึ้นในใจเราเอง

ถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อพบกัน
เพื่อมีวันเวลาที่ดีด้วยกัน
และเพื่อพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เราก็จะทำใจ และปล่อยวางได้
โดยไม่ต้องการคำอธิบาย หรือตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย


เวลาเจอเรื่องแบบนี้
อย่าเสียเวลาถามว่า "ทำไม" ให้มากความ
คิดเสียว่าเขาตายจากชีวิตเราไปแล้ว
คนที่เคยเป็นคนรักแสนดีของเรา เขาไม่อยู่ในโลกของเราแล้ว

ถ้าเรารักเขามากจริงๆ อย่างที่บอกเขาเสมอ
นี่ไง.. สิ่งสุดท้ายที่เราจะให้เขาได้
"ให้อภัย" ไง

คิดเสียว่า เขาจะมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับเรา
อวยพรให้เขาโชคดี ในโลกใหม่ของเขา

ไม่ต้องรอเขาหรอกนะ
อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ว่าคนตายแล้วจะฟื้นกลับมา
เพราะมันมีแต่ในหนังแฟรงเก้นสไตน์


และถึงเขาจะกลับมา เชื่อเถอะว่า
ความรู้สึกดีๆ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว

เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาแล้ว
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขาแล้ว
เราก็เลือกได้เหมือนกัน
ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือจมปลักในทุกข์นี้ต่อไป

อยากร้องไห้ก็ร้องแต่พองาม พอให้รู้สึกว่าเรามีเลือดเนื้อ
แต่อย่าร้องจนเสียจิต เหมือนคนคิดสั้น
เพราะถึงเราจะร้องจนน้ำท่วมทุ่งกุลาร้องไห้
ก็ไม่ทำให้อะไรๆกลับมา เหมือนเดิม

เราอาจรู้สึกเหมือนโลกดับ วับหาย
แต่เปล่าหรอก.. ชีวิตเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ความจริง


การเรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่
เป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์
ที่จะได้สอนตัวเองว่า .. อย่ายึดมั่นถือมั่น
ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป

ทั้งเรา ทั้งเขา ทั้งใครๆ
ทั้งสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งไหน
ทั้งโลกนี้ จักรวาล และกาลเวลา

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

วันศุกร์แห่งชาติ

 ใครติดเพื่อนบ้าง...ยกมือขึ้น!!! เชื่อแน่ว่า จะต้องมีเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพ์ขณะนี้ยอมรับกันอยู่ในใจแน่ ๆ เลย เพราะเป็นธรรมดาที่วัยรุ่น วัยเรียน วัยทำงาน หรือแม้แต่ในวัยที่มีครอบครัวของตัวเองแล้ว ก็ยังไม่วายติดเพื่อน เป็นต้องออกไปพบปะสังสรรค์กันนอกบ้านเป็นประจำ (ก็มันสนุกนี่นา)
          และหลายครั้งที่ปาร์ตี้ในหมู่เพื่อนกินเวลายามค่ำคืนจนนาฬิกาบอกเวลาก้าวเข้าสู่วันใหม่เข้าไปแล้ว แต่รู้ไหมว่า ในช่วงที่เรากำลังสนุกสนานอยู่นั้น ยังมีคนข้างหลังคอยเป็นห่วงอยู่ที่บ้าน เขาคนนั้นยังนอนไม่หลับแม้จะรู้ว่าวันนั้นคุณจะกลับดึก ด้วยเป็นห่วงว่าคนที่รักยังไม่ถึงบ้านอย่างปลอดภัยนั่นเอง
          ดังเช่นเรื่องราวที่เรานำมาฝากกันวันนี้ จากคุณ ใส่หมวกแก๊ปไปเดินกุ๊บกั๊บ  สมาชิกเว็บไซต์พันทิป ที่บังเอิญได้ยินคำพูดธรรมดาคำหนึ่งของคนเป็นแม่ ในวันที่เขาออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ๆ นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเปลี่ยนใจและเปลี่ยนแปลง ซึ่งเรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า...

          เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ก็เป็นธรรมดาของมนุษย์เงินเดือน ที่วันศุกร์แห่งชาติ (และเป็นวันเงินเดือนออก) จะมีการนัดสังสรรค์กันระหว่างเพื่อน ๆ มีดื่ม มีเที่ยว เพราะถือว่าเป็นวันปลดปล่อยของสัปดาห์ หลังจากดื่มได้พอสมควร ก็รวมกลุ่มกันไปโต๊ะสนุ๊กฯ ต่อ กว่าจะได้กลับก็เกือบ ๆ ตีสอง

          กลับมาก็เห็นแม่นอนดูทีวีอยู่ ก็ยังสงสัยว่าทำไมนอนดึกจัง เราก็ง่วงบวกกับมึน ๆ ด้วย ก็เลยเข้านอนเลย ไม่ได้ทักแม่ซักคำ
          รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ผมก็ตื่นตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า เพราะตื่นเวลานี้เป็นปกติแล้ว (แต่ก็ยังไม่เคยตื่นก่อนแม่ซักที)
          ประโยคแรกที่เราทักแม่ก็คือ "แม่ วันนี้มีอะไรกิน"
          หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว วันนี้ครอบครัวผมมีธุระต้องเข้ากรุงเทพฯ ระหว่างทางแม่ผมก็คุยกับพี่ชายเรื่องทั่ว ๆ ไป ผมก็นั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ได้ยินแม่บ่นเรื่องทั่ว ๆ ไป และก็พูดว่า...
          แม่ : วันนี้ง่วงนอนจัง
          พี่ชาย : ไปทำอะไรมาล่ะแม่
          แม่ : ก็ไม่ได้ทำอะไร เมื่อคืนไอ้...(ชื่อผม) มันยังไม่กลับบ้าน แม่ก็นอนไม่หลับ
          ผม : ...........
          จากนั้นเค้าก็คุยกันเรื่องอื่น แต่ประโยคดังกล่าว มันทำให้ผมกลับมาคิดว่า ในวันแรกที่เงินเดือนออก แทนที่เราจะพาคนที่รักและเป็นห่วงเราไปกินข้าว เรากลับเลือกที่จะออกไปสังสรรค์กับเพื่อน ไปกินเหล้า เมายา เล่นการพนัน
          แต่เรากลับทิ้งให้อีกคนหนึ่งที่เป็นห่วงเรา อดนอน เพื่อรอว่าเราจะกลับถึงบ้านโดยปลอดภัยแล้ว เมื่อเรากลับถึงบ้าน เมื่อนั้นแหละ เค้าคนนั้นถึงจะหลับลง
        
          จากเหตุการณ์นี้ทำให้เรานึกย้อนไปถึงครั้งก่อน ๆ ถ้าเรากลับบ้านดึก แม่จะโทรตามทุกครั้ง จะไม่ได้ดุด่าหรือว่าอะไร เพียงแต่จะถามว่า "อยู่ไหน ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ไม่ทำงานหรอ..." เมื่อเรากลับมา ก็จะพบว่าแม่ยังไม่นอนเสมอ ทำให้เราได้ย้อนกลับมาคิดได้ว่า ถึงแม้เราจะเป็นผู้ชาย และอายุก็ไม่ใช่เด็ก ๆ มีหน้าที่การงานแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นแม่ ยังไงก็ยังเป็นห่วงลูก ถ้าลูกยังไม่กลับถึงบ้าน ก็อดที่จะห่วงไม่ได้
          วันถัดมาเพื่อนผมก็ชวนออกไปกินสังสรรค์อีก แม่ได้ยินผมคุยโทรศัพท์ในรถ ก็บอกว่า... "ถ้าไม่อยากไปกับเพื่อนก็ปฏิเสธได้ ต้องปฏิเสธคนให้เป็น" (แม่จะรู้นิสัยผมว่าเป็นคนปฏิเสธคนไม่เป็น) ผมจึงตัดสินใจบอกเพื่อนไป
       
          ผม : "วันนี้กรูไม่ไปนะ"
          เพื่อน : "ทำhaอะไร ทำไมถึงไม่มา"
          ผม : "กรูจะพาแม่กรูไปกินข้าว"

          จากเรื่องราวข้างต้นจะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในชีวิตประจำวันของใครหลายคน แต่...เพียงแค่เราหันมาใส่ใจคนใกล้ตัวที่เรามักจะมองข้ามบ้าง ก็จะรับรู้ได้ถึงความรักลึกซึ้งจากคนที่รัก โดยเฉพาะคุณแม่ และนั่นอาจสร้างจุดเปลี่ยน หรือมุมคิดดี ๆ ที่จะทำให้คุณเป็นลูกที่น่ารักขึ้นเป็นกอง

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554

แบบร่างสัญญา 400 กว่าแบบ

แบบร่างสัญญา 400 กว่าแบบ ผมคิดว่า มีประโยชน์นะครับ




Part01 ลิ้งดาวน์โหลด  : http://www.mediafire.com/?1yoshww4hs2em10

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

พ่อแม่รังแกฉัน (บาป ๑๔ ประการของมารดาบิดา)

พ่อแม่รังแกฉัน (บาป ๑๔ ประการของมารดาบิดา)

พ่อแม่บางคน (๑)
    ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา
พ่อแม่บางคน (๒)
    ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง  ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่
พ่อแม่บางคน (๓)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป  ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล  ระรานคนเขาไปทั่ว
พ่อแม่บางคน (๔)
    ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว  ผลก็คือ  ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน  ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน  ยิ่งได้เงินมาก  ยิ่งผลาญเงินเก่ง  มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้  และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง  แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ
พ่อแม่บางคน (๕)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว
พ่อแม่บางคน (๖)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้าง ปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก
พ่อแม่บางคน (๗)
    ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น  ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร
พ่อแม่บางคน (๘)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น
พ่อแม่บางคน (๙)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ  ผลก็คือ  เมื่อโตขึ้น  เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด  ไม่เห็นความจำเป็นว่า  การเป็นลูกที่ดีนั้น  จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร
พ่อแม่บางคน (๑๐)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”
พ่อแม่บางคน (๑๑)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง  ผลก็คือ  ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง  ไม่กล้าคิด  ไม่กล้าพูด  ไม่กล้าทำอะไร  ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ  ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี
พ่อแม่บางคน (๑๒)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม  ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์
พ่อแม่บางคน (๑๓)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต
พ่อแม่บางคน (๑๔)
    ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน
ว.วชิรเมธี

ชื่อเมืองต่างๆ ของประเทศไทย ในประวัติศาสตร์

ชื่อเมืองต่างๆ ของประเทศไทย ในประวัติศาสตร์ 

 
    ชื่อเดิม     สองแคว                                       ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดพิษณุโลก
     ชื่อเดิม     ศรีสัชนาลัย                                   ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดสุโขทัย
     ชื่อเดิม     สระหลวง,โอฆะบุรี                         ชื่อปัจจุบัน      จังหวัดพิจิตร
     ชื่อเดิม     ฉอด                                            ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดตาก
     ชื่อเดิม     แม่ละเมา                                      ชื่อปัจจุบัน     ต.แม่ละเมา อ.แม่สอด จังหวัดตาก
     ชื่อเดิม     พิชัย                                            ชื่อปัจจุบัน     อ.พิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์
     ชื่อเดิม     ทุ่งยั้ง,ศรีนพวงศ์                            ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดอุตรดิตถ์
     ชื่อเดิม     ชากังราว,นครชุม                           ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดกำแพงเพชร
     ชื่อเดิม     วิเศษไชยชาญ                                ชื่อปัจจุบัน     อ.วิเศษไชยชาญ จังหวัดอ่างทอง
     ชื่อเดิม     อโยธยา                                        ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดอยุธยา
     ชื่อเดิม     ละโว้                                            ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดลพบุรี
     ชื่อเดิม     บางระจัน                                      ชื่อปัจจุบัน     อ.บางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
     ชื่อเดิม     ศรีวิชัย,นครไชยศรีทวาราวดี             ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดนครปฐม
     ชื่อเดิม     แปดริ้ว                                         ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดฉะเชิงเทรา
     ชื่อเดิม     อู่ทอง                                           ชื่อปัจจุบัน     อ.อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี
     ชื่อเดิม     ดอนเจดีย์                                      ชื่อปัจจุบัน     อ.ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี
     ชื่อเดิม     หนองสาหร่าย                                ชื่อปัจจุบัน     ต.หนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี
     ชื่อเดิม     สามโคก                                        ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดปทุมธานี
     ชื่อเดิม     พระบาง,ปากน้ำโพ                          ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดนครสวรรค์
     ชื่อเดิม     หริภุญไชย                                     ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดลำพูน
     ชื่อเดิม     เขลางค์                                         ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดลำปาง
     ชื่อเดิม     เวียงพิงค์                                       ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดเชียงใหม่
     ชื่อเดิม     เงินยาง                                         ชื่อปัจจุบัน     อ.เชียงแสน จังหวัดเชียงราย
     ชื่อเดิม     สาครบุรี                                        ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดสมุทรสาคร
     ชื่อเดิม    เสมา,โคราช                                    ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดนครราชสีมา
     ชื่อเดิม    พิมาย                                             ชื่อปัจจุบัน     อ.พิมาย จังหวัดนครราชสีมา
     ชื่อเดิม    ขุขันธ์                                             ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดศรีษะเกษ
     ชื่อเดิม    ไชยา                                              ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดสุราษฎ์ธานี
     ชื่อเดิม    ศิริธรรมนคร                                    ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดนครศรีธรรมราช
     ชื่อเดิม    ถลาง                                              ชื่อปัจจุบัน      จังหวัดภูเก็ต
     ชื่อเดิม    คลองวาน                                        ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
    ชื่อเดิม    ไชยนารายณ์                             ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดเชียงราย
     ชื่อเดิม     นันทบุรี                                          ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดน่าน
     ชื่อเดิม     บ้านตลาดแก้ว                                  ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดนนทบุรี
     ชื่อเดิม     ดอนมดแดง                                     ชื่อปัจจุบัน     จังหวัดอุบลราชธานี

ขอบคุณข้อมูลจาก : thaigoodview

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

14 สิ่งที่สุดในชีวิตเราคือ ??

1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา คือ ตัวเราเอง
The most formidable enemy in one's life is oneself

2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอวดดี
The biggest failure in one's life is self-important.

3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา คือ การหลอกลวง
The unwiset act in one's life is deceit.

4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา คือ ความอิจฉาริษยา
The most miserable act in one's life is jealousy.

5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา คือ การยอมแพ้ตนเอง
The gravest mistake in one's life is self-abundonment.

6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตของเรา คือ การหลอกตัวเอง
The most sinful act in one's life is self-deception.

7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การถดถอยของตัวเอง
The most pitiful temperament in one&rsquo's life is self-abasement.

8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะวิริยะ
The most admirable spirit in one&rsquo's life is perserverance.

9. ความล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความสิ้นหวัง
The most complete bankruptcy in one&rsquo's life is despair.

10. ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดในชีวิตเรา คือ สุขภาพที่สมบูรณ์
The greatest wealth in one&rsquo's life is health.

11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ หนี้บุญคุณ
The heaviest debt in one&rsquo's life is a debt gratitide for
other's help.

12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา คือ การให้อภัยและความเมตตา
The groundest gift in one&rsquo's life is forgiveness and kindness,

13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเรา คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล
The biggest shortcoming in one&rsquo's life is permissism on unreason.

14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจมากที่สุด คือ การให้ทาน
The greatest gratification in one&rsquo's life is alms giving